Please use this identifier to cite or link to this item: http://kb.psu.ac.th/psukb/handle/2016/19315
Full metadata record
DC FieldValueLanguage
dc.contributor.advisorวินีกาญจน์ คงสุวรรณ-
dc.contributor.authorเจนวิทย์​ ณาคะ​โร-
dc.date.accessioned2024-01-24T07:41:06Z-
dc.date.available2024-01-24T07:41:06Z-
dc.date.issued2023-
dc.identifier.urihttp://kb.psu.ac.th/psukb/handle/2016/19315-
dc.descriptionพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต (การพยาบาลจิตเวชและสุขภาพจิต), 2566en_US
dc.description.abstractThis predictive research aimed to study the level of self-care behavior and to study factors predicting self-care behavior of prisoners with schizophrenics at prison and correctional institutions. The sample comprised 96 patients with schizophrenia who were sentenced in prison at correctional institutions in prison administrative regions 9. The research instrument consisted of 5 parts: (1) a demographic data and illness questionnaire, (2) a cognitive status assessment form for patients with schizophrenia, (3) a self-esteem questionnaire for patients with schizophrenia, (4) a Social Support Scale for Patients with Schizophrenia, and (5) a Self-Care Behavior questionnaire for Patients with Schizophrenia. The content validity of the instruments was verified by three experts. The content validity index of part 3 to 5 was 1.0, 1.0, and 10 respectively. The reliability of part 3 to 5 was tested yielding a Cronbach’s alpha coefficient of .72, .89 and .83 respectively. Data were analyzed using descriptive statistics. The predictability was analyzed using multiple regression analysis with standard The results showed that the self-care behaviors score of patients with Schizophrenia serving in prisons and correctional institutions was at a high level (M = 77.63, S.D. = 0.92). Predictive factor could explain 42.1 percent of the variance (R 2= .421, p < .05). The factors that significantly predicted self-care behaviors were cognitive status (β = 0.239, t = 2.907, p < .01) and social support (β = 0.478, t = 4.495, p < .01). The results of this study could be used as a basis information to development of nursing models to further promote self-care behaviors.en_US
dc.description.sponsorshipทุนอุดหนุนการวิจัยเพื่อวิทยานิพนธ์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์en_US
dc.language.isothen_US
dc.publisherมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์en_US
dc.rightsAttribution-NonCommercial-NoDerivs 3.0 Thailand*
dc.rights.urihttp://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/3.0/th/*
dc.subjectพฤติกรรมการดูแลตนเองen_US
dc.subjectผู้ต้องขังจิตเภทen_US
dc.subjectโรคจิตเภทen_US
dc.titleปัจจัยทำนายพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ต้องขังโรคจิตเภทen_US
dc.title.alternativeFactors Predicting Self-Care Behaviors among Prisoners withen_US
dc.typeThesisen_US
dc.contributor.departmentFaculty of Nursing (Psychiatric Nursing)-
dc.contributor.departmentคณะพยาบาลศาสตร์ ภาควิชาการพยาบาลจิตเวช-
dc.description.abstract-thการศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทำนาย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับพฤติกรรมการดูแลตนเองและศึกษาปัจจัยทำนายพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ต้องขังจิตเภทในเรือนจำและ ทัณฑสถาน กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยจิตเภทที่ได้รับการต้องโทษในเรือนจำและทัณฑสถานเขตบริหารเรือนจำที่ 9 จำนวน 96 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 5 ส่วนคือ (1) แบบสอบถามข้อมูลทั่วไปและการเจ็บป่วย (2) แบบประเมินการทำหน้าที่ด้านการรู้คิดของผู้ป่วยโรคจิตเภท (3) แบบประเมินความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองของผู้ป่วยโรคจิตเภท (4) แบบวัดการสนับสนุนทางสังคมของผู้ป่วยโรคจิตเภท และ (5) แบบประเมินพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคจิตเภท ซึ่งได้ผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่าน ซึ่งได้ผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหา โดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่าน ได้ค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหาของเครื่องมือส่วนที่ 3และ 5 เท่ากับ 1, 1, และ 1 ตามลำดับ ตรวจสอบความเที่ยงของเครื่องมือส่วนที่ 3 ถึง 5 โดยคำนวณหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาคเท่ากับ .72, 89, และ .83 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติบรรยายและวิเคราะห์ปัจจัยทำนายโดยใช้สถิติถดถอยพหุคูณแบบปกติ ผลการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยจิตเภทที่ได้รับการต้องโทษในเรือนจำและทัณฑสถานมีระดับพฤติกรรมการดูแลตนเองอยู่ในระดับสูง (M = 77.63, S.D. = 0.92) ตัวแปรปัจจัยทำนายสามารถร่วมกันทำนายได้ร้อยละ 42 (R2 = .421, p < .05) โดยตัวแปรที่สามารถทำนายพฤติกรรมการดูแลตนเองได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คือ การทำหน้าที่ด้านการรู้คิด (β= 0.239, t = 2.907, p < .01) และการสนับสนุนทางสังคม (β= 0.478, t = 4.495, p < .01) ผลการศึกษาครั้งนี้ สามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการพยาบาลเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลตนเองต่อไปen_US
Appears in Collections:647 Thesis

Files in This Item:
File Description SizeFormat 
6210420011.pdf1.37 MBAdobe PDFView/Open


This item is licensed under a Creative Commons License Creative Commons