กรุณาใช้ตัวระบุนี้เพื่ออ้างอิงหรือเชื่อมต่อรายการนี้: http://kb.psu.ac.th/psukb/handle/2016/19432
ชื่อเรื่อง: การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามแนวคิดสะเต็มศึกษาเพื่อส่งเสริมความฉลาดรู้ทางวิทยาศาสตร์และเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
ชื่อเรื่องอื่นๆ: The Development of Science Learning Model Based on STEM Education to Enhance Scientific Literacy and Attitudes towards Science among Prathomseuksa 6 Students
ผู้แต่ง/ผู้ร่วมงาน: ฮามีด๊ะ มูสอ
นารีมะห์ วาโด
Faculty of Education (Learning, Teaching, and Curriculum program)
คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาการเรียนรู้ การสอน และหลักสูตร
คำสำคัญ: รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา;ความฉลาดรู้ทางวิทยาศาสตร์;เจตคติต่อวิทยาศาสตร์;กระบวนการเชิงวิศวกรรม
วันที่เผยแพร่: 2023
สำนักพิมพ์: มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
บทคัดย่อ: Science and technology were considered an important tool to determine the aspect of the development of society and the nation nowadays. In order to develop technology and create an innovation, it is necessary to support the scientific literacy of students. The purposes of this research were to 1) develop the science Learning model based on STEM education to enhance scientific literacy and attitudes towards science among Prathomseuksa 6 students, 2) compared scientific learning before and after implementation 3) compared the student’s attitudes towards science learning before and after implementation. The samples group consisted of 13 students in the first semester of 2022. The research instruments were the science Learning model based on STEM education manual, lesson plan, the science achievement test, attitudes towards science’s assessment, field note. The data were analyzed by using mean of percentage, arithmetic mean, standard deviation, Dependent Sample T-test and content analysis. The research found that; 1) The science Learning model based on STEM education are consist of 6 elements; 1. principle 2. objective 3. learning content 4. process of learning teaching of 7 steps 1) Identify Problem 2) Search Related Information 3) Design Solution 4) Plan and Solve Problem 5) Test Evaluation and Design Improvement 6) Present and Reflect Feedback and 7) Crystalize Core concept 5. media and visuals 6. measurements and evaluation by following the result of The Joint Committee on Standard of Educational Evaluation of 4 standards had mean score in high level. 2) The science literacy were higher than before experiment at the level of .05 significant. 3) The student’s attitudes towards science learning were higher than before at the level .05 significance. Hence, the students of Prathomsuksa 6 were able to do the activity or complete the task with creativity. Moreover, they had skills in term of scientific literacy and attitudes towards science were obviously higher. In addition, the result of scientific competence of students were improved and had reflected the results that the students were interested toward the activity.
Abstract(Thai): วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีถือว่าเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้กำหนดทิศทางการพัฒนาของสังคมและประเทศชาติในปัจจุบัน เพื่อให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีและสร้างสรรค์นวัตกรรมจำเป็นต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดความฉลาดรู้ทางวิทยาศาสตร์ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามแนวคิดสะเต็มศึกษาที่สามารถพัฒนาความฉลาดรู้ทางวิทยาศาสตร์และเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2) เปรียบเทียบความฉลาดรู้ทางวิทยาศาสตร์ก่อนและหลังจัดการเรียนรู้ และ3) เปรียบเทียบเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ก่อนและหลังจัดการเรียนรู้ กลุ่มเป้าหมายคือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 13 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) เครื่องมือในการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ 1.1 คู่มือประกอบการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา 1.2 แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 2) เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล 2.1 แบบวัดความฉลาดรู้ทางวิทยาศาสตร์ 2.2 แบบประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ และ 2.3 แบบบันทึกภาคสนาม สถิติที่ใช้ การวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย (\bar{x}) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ทดสอบค่าทีด้วยสถิติ Dependent Samples t-test และวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามแนวคิดสะเต็มศึกษาประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ คือ 1. หลักการ 2. วัตถุประสงค์ 3. สาระการเรียนรู้ 4. กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ประกอบด้วย 7 ขั้นตอน คือ 1) ขั้นระบุปัญหา 2) ขั้นรวบรวมข้อมูลและค้นหาแนวคิด 3) ขั้นออกแบบวิธีการแก้ปัญหา 4) ขั้นวางแผนและดำเนินการแก้ปัญหา 5) ขั้นทดสอบ ประเมินผล และปรับปรุง 6) ขั้นนำเสนอและสะท้อนผล และ 7) ขั้นตกผลึกแนวคิด 5. สื่อและแหล่งเรียนรู้ และ 6. การวัดและประเมินผล โดยมีผลการประเมินตามมาตรฐาน The Joint Committee on Standards of Educational Evaluation ใน 4 มาตรฐาน พบว่า ภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับ ดีมาก 2) ความฉลาดรู้ทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) เจตคติต่อวิทยาศาสตร์ของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งสรุปผลได้ว่ารูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามแนวคิดสะเต็มศึกษาสามารถพัฒนาความฉลาดรู้ทางวิทยาศาสตร์และเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ของนักเรียนให้สูงขึ้นได้ อีกทั้งผู้เรียนมีการแสดงให้เห็นถึงสมรรถนะทางวิทยาศาสตร์ที่มีการพัฒนาขึ้นและมีการสะท้อนผลที่แสดงให้เห็นถึงความสนใจในวิทยาศาสตร์
รายละเอียด: ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต (หลักสูตรและการสอน), 2566
URI: http://kb.psu.ac.th/psukb/handle/2016/19432
ปรากฏในกลุ่มข้อมูล:270 Thesis

แฟ้มในรายการข้อมูลนี้:
แฟ้ม รายละเอียด ขนาดรูปแบบ 
6320120607.pdf7.8 MBAdobe PDFดู/เปิด


รายการนี้ได้รับอนุญาตภายใต้ Creative Commons License Creative Commons