Please use this identifier to cite or link to this item: http://kb.psu.ac.th/psukb/handle/2016/19087
Full metadata record
DC FieldValueLanguage
dc.contributor.advisorภูวดล ธนะเกียรติไกร-
dc.contributor.authorเปรมกมล ต้นครองจันทร์-
dc.date.accessioned2023-11-21T03:21:51Z-
dc.date.available2023-11-21T03:21:51Z-
dc.date.issued2018-
dc.identifier.urihttp://kb.psu.ac.th/psukb/handle/2016/19087-
dc.descriptionวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (นิติวิทยาศาสตร์), 2561en_US
dc.description.abstractBombing cases are the second most frequent means of attack in the Southern Thailand’s insurgency. Improvised explosive devices or IEDs are made from household items, and the assembling process usually results in the deposition of touch DNA on the IEDs. However, STR typing from touch DNA mostly results in low success rates due to the low amount of DNA available and our inability to locate areas where they have been deposited. To solve this problem, six fluorescent DNA-binding dyes were evaluated at various concentrations to find the most efficient dye for touch DNA visualization that could also be used with direct PCR to increase success rates of STR typing from IED substrates. I found that SYBR® Green I at 0.9X and Diamond™ dye at 1.4X concentration were the two most efficient dyes. STR profiles from stained samples were investigated and indicated that DiamondTM dye inhibited PCR and resulted in fewer alleles when compared to SYBR® Green I; thus 0.9X of SYBR® Green I was chosen for further testing. The prepared SYBR® Green I dye was stable up to 24 h when stored in -20°C. Ten mock IEDs were constructed and investigated either using the developed method (visualization and direct PCR) in our laboratory or with the conventional method at a forensic police laboratory. The results showed that developed method produced significantly more alleles from the IED’s constructor (95% HDI: 0.7 to 10.0 alleles) and led to a decrease in non-donor’s allele. Moreover, the fluorescence level was directly correlated to the number of alleles obtained. The developed method has the potential to transform the way forensic scientists work with evidence potentially containing touch DNA.en_US
dc.language.isothen_US
dc.publisherมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์en_US
dc.rightsAttribution-NonCommercial-NoDerivs 3.0 Thailand*
dc.rights.urihttp://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/3.0/th/*
dc.subjectดีเอ็นเอen_US
dc.titleการพัฒนาเทคนิคตรวจหาดีเอ็นเอที่เกิดจากการสัมผัสบนหลักฐานระเบิดแสวงเครื่องโดยใช้สารเรืองแสงen_US
dc.title.alternativeVisualization of touch DNA from improvised explosive device (IED) evidenceen_US
dc.typeThesisen_US
dc.contributor.departmentFaculty of Science (Applied Science)-
dc.contributor.departmentคณะวิทยาศาสตร์ ภาควิชาวิทยาศาสตร์ประยุกต์-
dc.description.abstract-thเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน ส่งผลให้เกิดความสูญเสียในชีวิต ทรัพย์สิน และความมัน่ คงของประเทศ โดยหนึ่งในรูปแบบ การก่อเหตุที่นิยมใช้มากที่สุดคือการวางระเบิด โดยเฉพาะระเบิดแสวงเครื่อง ซึ่งสามารถ ประกอบขึ้นจากวัสดุที่มีอยู่ในท้องถนิ่ การประกอบและขนย้ายระเบิดแสวงเครื่องด้วยมือเปล่า ย่อมเกิดการหลุดลอกของเซลล์ผิวหนังจากผู้ก่อการร้ายไปสู่ส่วนประกอบของระเบิด ทาให้ สามารถตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอและเชื่อมโยงสู่ผู้กระทาผิดได้ อย่างไรก็ตาม การตรวจพิสูจน์ ลายพิมพ์ดีเอ็นเอจากหลักฐานระเบิดแสวงเครื่องมีอัตราความสาเร็จต่า เนื่องจากเซลล์และ ดีเอ็นเออิสระจากการสัมผัสมีปริมาณน้อยและไม่สามารถมองเห็นหรือระบุตาแหน่งบนหลักฐาน ได้อย่างชัดเจน ดังนั้นงานวิจัยนี้จึงต้องการพัฒนาชุดน้ายาสารเรืองแสงที่มีประสิทธิภาพในการ ตรวจระบุตาแหน่งของเซลล์และดีเอ็นเออิสระจากการสัมผัสบนวัสดุระเบิดแสวงเครื่อง ร่วมกับ การตรวจพิสูจน์ลายพิมพ์ดีเอ็นเอด้วยเทคนิคไดเร็คพีซีอาร์ ผลการศึกษาพบว่า สามารถพัฒนา ชุดน้ายาสารเรืองแสงและกระบวนการดังกล่าวได้สาเร็จ โดยใช้สารเรืองแสง SYBR® Green ที่ ความเข้มข้น 0.9 เท่า ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพลายพิมพ์ดีเอ็นเอน้อยที่สุด ชุดน้ายา สารเรืองแสงความเข้มข้นนี้สามารถเก็บรักษาได้ดีที่สุดที่อุณหภูมิ -20°C เป็นเวลา 1 วัน โดยยัง ปรากฎการเรืองแสงที่เข้มในระดับมากที่สุด นอกจากนี้ พบว่าชุดน้ายาสารเรืองแสงและ กระบวนการที่พัฒนาขึ้นให้อัตราความสาเร็จในการตรวจพิสูจน์ลายพิมพ์ดีเอ็นเอจากหลักฐาน ระเบิดแสวงเครื่องจาลองสูงถึงร้อยละ 14.7 และสูงกว่ากระบวนการมาตรฐานของตารวจ พิสูจน์หลักฐานอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับความเชื่อมัน่ 95%en_US
Appears in Collections:340 Thesis

Files in This Item:
File Description SizeFormat 
433160.pdf7.81 MBAdobe PDFView/Open


This item is licensed under a Creative Commons License Creative Commons