Please use this identifier to cite or link to this item: http://kb.psu.ac.th/psukb/handle/2016/18220
Full metadata record
DC FieldValueLanguage
dc.contributor.advisorโสเพ็ญ ชูนวล-
dc.contributor.authorปภาวรินท์ อินทรเชษฐ-
dc.date.accessioned2023-10-16T03:10:14Z-
dc.date.available2023-10-16T03:10:14Z-
dc.date.issued2022-
dc.identifier.urihttp://kb.psu.ac.th/psukb/handle/2016/18220-
dc.descriptionพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต (การผดุงครรภ์), 2565en_US
dc.description.abstractRepeat pregnancy among adolescents is a major problem which affects maternal health, families, and the country. It has been found that the occurrence of repeat pregnancies among adolescents was higher in lower Southern Thailand than in any other region. This cross-sectional study aimed to examine the level of intention to use contraceptive implants and factors influencing the intention to use contraceptive implants among pregnant adolescents. The participants were 319 pregnant adolescents attending antenatal clinics in three secondary care hospitals and one tertiary care hospital in lower southern Thailand. Data were collected using eight questionnaires that dealt with personal information, attitudes toward contraceptive implants, subjective norms relating to contraceptive implants, perceived behavioral control concerning contraceptive implants, knowledge of contraceptive implants, life goal settings, fear of side effects of contraceptive implants, and intention to use contraceptive implants. There were validated by 3 experts and examined using Cronbach’s alpha coefficient in questionnaire 2, 3, 4, 6, 7, 8, yielding values of .71, .83, .75, .94, 87, .89. The reliability of questionnaire 5 was tested using Kuder-Richardson 20 (KR-20) yielding a value of .72. Data were analyzed using descriptive statistics, Pearson’s correlation test, and simultaneous multiple regression analysis. The result showed that intention to use contraceptive implants was moderate among pregnant adolescents in lower Southern Thailand. Perceived behavioral control toward contraceptive implants was the strongest predictor overall and together with attitude toward contraceptive implants and subjective norm toward contraceptive implants, significantly explained 34.4% of the variance in intention to use contraceptive implants. The results of this study could serve as a basis for developing care programmes to promote intention to use contraceptive implants among pregnant adolescents in lower Southern Thailand.en_US
dc.language.isothen_US
dc.publisherมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์en_US
dc.rightsAttribution-NonCommercial-NoDerivs 3.0 Thailand*
dc.rights.urihttp://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/3.0/th/*
dc.subjectAttitudeen_US
dc.subjectContraceptive implantsen_US
dc.subjectFearen_US
dc.subjectIntentionen_US
dc.subjectKnowledgeen_US
dc.subjectLife goal settingsen_US
dc.subjectPerceived behavioral controlen_US
dc.subjectPregnant adolescenten_US
dc.subjectSubjective normsen_US
dc.subjectการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นen_US
dc.titleปัจจัยทำนายความตั้งใจใช้ยาฝังคุมกำเนิดของหญิงตั้งครรภ์วัยรุ่นในภาคใต้ตอนล่างen_US
dc.title.alternativeFactors Influencing Intention to Use Contraceptive Implants Among Pregnant Adolescents in the Lower Southern Thailanden_US
dc.typeThesisen_US
dc.contributor.departmentFaculty of Nursing (Obstetric and Gynaecologic Nursing and Midwifecy)-
dc.contributor.departmentคณะพยาบาลศาสตร์ ภาควิชาการพยาบาลสูติ-นรีเวชและผดุงครรภ์-
dc.description.abstract-thการตั้งครรภ์ซ้ำในวัยรุ่นเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อมารดาวัยรุ่นทั้งด้านสุขภาพ ครอบครัว และประเทศชาติ พบมากที่สุดในภาคใต้ การส่งเสริมความตั้งใจใช้ยาฝังคุมกำเนิดแก่มารดาวัยรุ่นตั้งแต่ระยะตั้งครรภ์เป็นวิธีช่วยป้องกันปัญหาดังกล่าว การศึกษาภาคตัดขวางครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความตั้งใจใช้ยาฝังคุมกำเนิด และปัจจัยทำนายความตั้งใจใช้ยาฝังคุมกำเนิดของหญิงตั้งครรภ์วัยรุ่นในภาคใต้ตอนล่าง กลุ่มตัวอย่างเป็นหญิงตั้งครรภ์วัยรุ่นที่มารับบริการแผนกฝากครรภ์ จำนวน 319 ราย ณ โรงพยาบาลระดับทุติยภูมิ 3 แห่ง และระดับตติยภูมิ 1 แห่งในเขตภาคใต้ตอนล่างของประเทศไทย เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบสอบถาม 8 ชุด ได้แก่ (1) ข้อมูลส่วนบุคคล (2) เจตคติต่อยาฝังคุมกำเนิด (3) การคล้อยตามกลุ่มอ้างอิงต่อยาฝังคุมกำเนิด (4) การรับรู้ความสามารถในการควบคุมพฤติกรรมการฝังยาคุมกำเนิด (5) ความรู้เกี่ยวกับยาฝังคุมกำเนิด (6) การกำหนดเป้าหมายในชีวิต (7) ความกลัวผลกระทบจาก การฝังยาคุมกำเนิด และ(8) ความตั้งใจใช้ยาฝังคุมกำเนิด ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน และทดสอบความเที่ยงของเครื่องมือด้วยสูตรสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคในแบบสอบถามชุดที่ 2, 3, 4, 6, 7, 8 เท่ากับ .71, .83, .75, .94, 87, .89 ตามลำดับ ค่าความเที่ยงของแบบสอบถามชุดที่ 5 ทดสอบด้วยสูตรคูเดอร์ริชาร์ดสัน 20 ได้เท่ากับ .72 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และสถิติการถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษา พบว่า ระดับความตั้งใจใช้ยาฝังคุมกำเนิดของหญิงตั้งครรภ์วัยรุ่นในภาคใต้ ตอนล่างอยู่ในระดับปานกลาง และพบว่ามี 3 ปัจจัย ได้แก่ การรับรู้ความสามารถใน การควบคุมตนเองต่อการฝังยาคุมกำเนิดเป็นตัวทำนายที่ดีที่สุด และยังร่วมกับเจตคติต่อยาฝังคุมกำเนิด และการคล้อยตามกลุ่มอ้างอิงต่อยาฝังคุมกำเนิด ในการอธิบายความแปรปรวนได้ร้อยละ 34.4 ของความตั้งใจใช้ยาฝังคุมกำเนิด ผลการศึกษาครั้งนี้สามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานเพื่อนำไปวางแผนการส่งเสริมความตั้งใจใช้ยาฝังคุมกำเนิดของหญิงตั้งครรภ์วัยรุ่นในภาคใต้ตอนล่างen_US
Appears in Collections:648 Thesis

Files in This Item:
File Description SizeFormat 
62104200673.44 MBAdobe PDFView/Open


This item is licensed under a Creative Commons License Creative Commons