Please use this identifier to cite or link to this item:
http://kb.psu.ac.th/psukb/handle/2016/17585
Title: | การพัฒนาเทคนิคการสกัดแยกวิตามินอีบริสุทธิ์เข้มข้นจากน้ำมันปาล์มดิบด้วยเทคโนโลยีเมมเบรน คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ |
Other Titles: | Development of extraction-separation technique for purifying vitamin E from crude palm oil by membrane technology รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์การพัฒนาเทคนิคการสกัดแยกวิตามินอีบริสุทธิ์เข้มข้นจากน้ำมันปาล์มดิบด้วยเทคโนโลยีเมมเบรน คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ |
Authors: | พรทิพย์ ศรีแดง จุไรวัลย์ รัตนะพิสิฐ Faculty of Engineering Civil Engineering คณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาวิศวกรรมโยธา Faculty of Engineering Chemical Engineering คณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาวิศวกรรมเคมี |
Keywords: | น้ำมันปาล์ม;วิตามินอี;เมนเบรน (เทคโนโลยี) |
Issue Date: | 2553 |
Publisher: | มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ |
Abstract(Thai): | งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการสกัดแยกวิตามินอีจากน้ำมันปาล์มดิบ โดยใช้วิธีการสกัดแยกเบื้องตัน (การทำสปอนนิฟิเคชัน) การสกัดแยกเบื้องต้นร่วมกับเทคโนโสยีเมมเบรน และการใช้เทคโนโลยีเมมเบรนในการแยกวิตามินอีจากน้ำมันปาล์มดิบโดยตรง โดยพิจารณาจากวิธีการที่ให้ค่าปริมาณวิตามินอีสูงที่สุด ในส่วนของการทำสบ่อนนิฟิเคซัน พบว่าความเข้มข้นของสารละลายโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์มีผลต่อริมาณวิตามินอีมากกว่าอุณหภูมิและเวลาในการดำเนินการ ซึ่งสภาวะที่เหมาะสมที่สุดในการทำสปอนนิฟิเคชัน คือ ความเข้มข้นของสารละลายโพเทสเซียมไฮดรอกไซด์ 10% ที่อุณหภูมิ 70 ํC และเวลา 30 นาที พบว่ามีการสูญเสีย Beta-tocopherol ประมาณ 20% อย่างไรก็ตามที่สภาวะดังกล่าวไม่สามารถกำจัดไตรกลีเซอร์ไรด์ทั้งหมดได้ จึงมีการใช้กระบวนการผสมผสานระหว่างสปอนนิฟิเคชันและเทคโนโลยีเมมเบรน ระดับอัลตราฟิลเตรชันและนาโนฟิลเตรชันที่ค่าความดันเหมาะสม คือ 3 บาร์ และ 15 บาร์ ซึ่งให้ค่าฟลักข์เฉลี่ยเท่ากับ 36.35 ลิตรต่อตารางเมตรต่อชั่วโมง สำหรับใช้ในการกำจัดไตรกลีเซอร์ไรด์ที่ยังคงเหลือจากการทำปฏิกิริยาสปอนนิฟิเคซันและเพื่อใข้ในการแยกวิตามินอีให้บริสุทธิ์ยิ่งขึ้นต่อไป ซึ่งจากการวิจัยพบว่า กระบวนการผสมผสานดังกล่าวสามารถกำจัดปริมาณไตรกลีเซอร์ไรด์ได้สูงถึง 93% จากปริมาณไตรกลีเซอร์ไรด์ในน้ำมันปาล์มดิบเริ่มต้น และเมมเบรนนาโนฟิลเตรชันระดับที่สอง (NP030) สามารถแยกวิตามินอื่ได้ 63% ที่ช่วงความดัน 30.0-31.0 บาร์ โดยให้ค่าฟลักซ์เฉลี่ย 7 ลิตรต่อตารางเมตรต่อชั่วโมง ส่วนในงานวิจัยที่แยกวิตามินอีโดยใช้เทคโนโลยีเมมเบรนโดยตรงพบว่า เมมเบรนระดับไมโครฟิลเตรซัน, อัลตราฟิลเตรชัน และนาโนฟิลเตรชันขั้นแรกสามารถแยกไตรกลีเซอร์ไรด์ใด้ 80% จากปริมาณไตรกลีเซอร์ไรด์ในน้ำมันปาล์มดิบเริ่มต้น และเมมเบรนนาโนพีลเตรชันระดับที่สอง (NP030) สามารถแยกวิตามินอีได้ 65% ที่ช่วงความดัน 38.0-39.0 บาร์ และให้ค่าฟลักซ์เฉลี่ย 6.7 ลิตรต่อตารางเมตรต่อชั่วโมง โดยสมรรถนะและประสิทธิภาพของแต่ละกระบวนการจะวิเคราะห์จากตัวอย่างที่ผ่านการกรอง (ส่วนที่ผ่านเมมเบรน) โดยพิจารณาสภาวะที่เหมาะสมจากปริมาณ Beta-tocopherol ที่ได้เป็นหลัก โดยพบว่า กระบวนการผสมผสานระหว่างสปอนนิฟิเคชัน และเทคโนโลยีเมมเบรนเป็นวิธีการที่ เหมาะสมที่สุดในการแยกวิตามินอีออกจากน้ำมันปาล์มดิบ เนื่องจากมีการใช้ความดันในการดำเนินการต่ำและให้ค่าเปอร์เซ็นต์การกำจัดไตรกลีเซอร์ไรด์สูง |
URI: | http://kb.psu.ac.th/psukb/handle/2016/17585 https://tnrr.nriis.go.th/#/services/research-report/detail/227908 |
Appears in Collections: | 220 Research 230 Research |
Files in This Item:
File | Description | Size | Format | |
---|---|---|---|---|
326370-abstract.pdf | 467.07 kB | Adobe PDF | View/Open |
Items in PSU Knowledge Bank are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.