กรุณาใช้ตัวระบุนี้เพื่ออ้างอิงหรือเชื่อมต่อรายการนี้:
http://kb.psu.ac.th/psukb/handle/2016/13553
ชื่อเรื่อง: | ผลของรูปแบบการใช้ที่ดินและสภาพภูมิประเทศต่อสมบัติบางประการที่สำคัญทางกายภาพและเคมีของดิน บริเวณลุ่มน้ำทุ่งใหญ่ จังหวัดสงขลา |
ชื่อเรื่องอื่นๆ: | Effects of Land Use Patterns and Topography on Some Important Physical and Chemical Properties of Soils in Thung Yai Watershed, Songkhla Provine |
ผู้แต่ง/ผู้ร่วมงาน: | สุรชาติ เพชรแก้ว อลงกรณ์ ขุนไกร Faculty of Natural Resources (Earth Science) คณะทรัพยากรธรรมชาติ ภาควิชาธรณีศาสตร์ |
คำสำคัญ: | ความสมบูรณ์ของดิน หาดใหญ่ (สงขลา);การจัดการดิน หาดใหญ่ (สงขลา) |
วันที่เผยแพร่: | 2019 |
สำนักพิมพ์: | มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ |
บทคัดย่อ: | A study of the effects of different land use patterns and topography on some physical and chemical properties of soils and soil fertility status assessment in Thung Yai watershed, Hat Yai district, Songkhla province. Goal is a guideline to manage the land resources for create sustainable benefits in the future. The survey was conducted and selected areas (in Thung Yai watershed) with different land use patterns and related topography. Data sources are soil survey report and soil map of Songkhla province and field survey in the study area by researchers themselves. Thung Yai watershed has 6 major land use patterns which related to the topography (%slop) are, (1) The para rubber plantation area with slop range 0-8% (2) The para rubber plantation area with slop range 8-16% (3) The para rubber agroforest area with slop range 8-16% (4) The para rubber agroforest area with slop range 16-30% (5) The orchard plantation area with slop range 16-30% and (6) The forest area with slop range >30%. Soil sampling was taken at 2 the depth ranges, were the topsoil (0-15 cm) and the subsoil (15-30 cm), which disturbed and undisturbed soil sampling (all forms of land use and topography). All soil samples were analyzed for some important chemical and physical properties in the soil and plant laboratory. The soil information obtained was used to evaluate soil fertility status under different land use and management in different topography. The result show that soil texture of all topsoils were sandy lom (all forms of land use and topography), and subsoil were sandy loam to sandy clay when the slop increases. The topsoil of para rubber plantation area with slop range 0- 8% was highest total bulk density, but lowest soil porosity and satuated hydraulic conductivity. While, the topsoil of forest area with slop range >30% was lowest total bulk density, but highest soil porosity and satuated hydraulic conductivity. The changes of some chemical properties of soil samples (at 0-30 cm) of all forms of land use and topography indicated that soil pH varied from strongly acid to very strongly acid (5.45-5.03, soil:water = 1:5), soil EC as 3.34- 19.50 μs/cm, OM as 3.44-21.16%, total N as 0.60-1.37 g/kg, available P as 1.20-5.40 mg/kg, exchangeable K as 66.30-152.10 cmol/kg, available S as 0.43-1.69 mg/kg, CEC as 3.16-12.63 cmol/kg and %BS as 7.95-36.20. The soil fertility status assessment in Thung Yai watershed showed that the para rubber plantation area with slop range 8-16% was low level. While, the soil fertility status evaluated moderately level were the para rubber plantation area with slop range 0-8%, the para rubber agroforest area with slop range 8-16% and 16-30%, the orchard plantation area with slop range 16-30% and the forest area with slop range >30%. |
Abstract(Thai): | การศึกษาผลของรูปแบบการใช้ที่ดินและสภาพภูมิประเทศที่แตกต่างกันที่มีต่อสมบัติทาง กายภาพและเคมีของดินร่วมกับการประเมินความอุดมสมบูรณ์ของดินในบริเวณลุ่มน้ําทุ่งใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อใช้เป็นแนวทางการจัดการทรัพยากรที่ดินในรูปแบบที่ถูกต้องและ เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และก่อให้เกิดประโยชน์อย่างยั่งยืนในอนาคต โดยทําการสํารวจและ คัดเลือกพื้นที่ที่มีรูปแบบการใช้ที่ดินที่แตกต่างกันและสัมพันธ์กับสภาพภูมิประเทศในบริเวณลุ่มน้ํา ทุ่งใหญ่ ศึกษาข้อมูลจากรายงานการสํารวจดินและแผนที่ดิน จ.สงขลา และการสํารวจภาคสนาม โดยตัวนักวิจัยเอง พื้นที่ลุ่มน้ําทุ่งใหญ่มีรูปแบบการใช้ที่ดินหลักที่มีความสัมพันธ์กับสภาพภูมิ ประเทศ โดยใช้พิสัยของความลาดชันของสภาพภูมิประเทศเป็นเกณฑ์พิจารณา จําแนกได้เป็น 6 รูปแบบ ได้แก่ (1) พื้นที่สวนยางพาราเชิงเดี่ยวความลาดชันร้อยละ 0-8 (2) พื้นที่สวนยางพารา เชิงเดี่ยวความลาดชันร้อยละ 8-16 (3) พื้นที่วนเกษตรยางพาราความลาดชันร้อยละ 8-16 (4) พื้นที่ วนเกษตรยางพาราความลาดชันร้อยละ 16-30 (5) พื้นที่ไม้ผลความลาดชันร้อยละ 16-30 และ (4) พื้นที่ป่าความลาดชันมากกว่าร้อยละ 30 สุ่มเก็บตัวอย่างดินในพื้นที่ศึกษา (ทุกรูปแบบการใช้ที่ดิน และสภาพภูมิประเทศ) ที่ 2 ช่วงระดับความลึก คือ ดินชั้นบน (0-15 เซนติเมตร) และดินชั้นล่าง (15-30 เซนติเมตร) ทั้งในแบบรบกวนโครงสร้างดินและแบบไม่รบกวนโครงสร้างดิน เพื่อนําไป ศึกษาสมบัติที่สําคัญบางประการของดินทางกายภาพและเคมีในห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ดินและ พืช นําข้อมูลที่ได้มาใช้การประเมินสถานะความอุดมสมบูรณ์ของดินภายใต้รูปแบบการใช้ที่ดินและ การจัดการดินที่แตกต่างกันในแต่ละสภาพภูมิประเทศ ผลการศึกษาสมบัติดินแสดงให้เห็นว่า ดินชั้นบนทุกรูปแบบการใช้ที่ดินที่ความลาดชัน แตกต่างกันมีเนื้อดินเป็นดินร่วนปนทราย ในขณะที่ดินชั้นล่างเป็นดินร่วนปนทรายถึงดินร่วนปนเหนียว เมื่อระดับความลาดชันเพิ่มสูงขึ้น ดินชั้นบนในพื้นที่สวนยางพาราเชิงเดี่ยวความลาดชัน ร้อยละ 0-8 มีค่าความหนาแน่นรวมของดินสูงที่สุด ค่าความพรุนรวมของดินและสภาพการนําน้ํา ของดินมีค่าต่ําที่สุด ในขณะที่พื้นที่ป่าความลาดชันมากกว่าร้อยละ 30 มีค่าความหนาแน่นรวมของ ดินต่ําที่สุด ค่าความพรุนรวมของดินและสภาพการนําน้ําของดินมีค่าสูงที่สุด ดินทุกรูปแบบการใช้ ที่ดินที่ความลาดชันแตกต่างกันในระดับความลึก 0-30 เซนติเมตร จากผิวดินมีค่าพีเอชเป็นกรดจัด ถึงกรดจัดมาก (5.45-5.03, ดินน้ํา = 1:5) ค่าการนําไฟฟ้าของดินอยู่ในช่วง 3.34-19.50 ไมโคร ซีเมนต์ต่อเซนติเมตร ปริมาณอินทรียวัตถุในดินอยู่ในช่วงร้อยละ 3.44-21.16 ไนโตรเจนทั้งหมดใน ดินอยู่ในช่วง 1.20-5.40 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม โพแทสเซียมที่แลกเปลี่ยนได้ในดินอยู่ในช่วง 66.30-152.10 เซนติโมลประจุต่อกิโลกรัม กํามะถันที่เป็นประโยชน์ในดินอยู่ในช่วง 0.43-1.69 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ความจุแลกเปลี่ยนแคตไอออนในดินชั้นบนอยู่ในช่วง 3.16-12.63 เซนติโมล ประจุต่อกิโลกรัม และร้อยละความอิ่มตัวด้วยเบสในดินอยู่ในช่วงร้อยละ 7.95-36.20 ผลการ ประเมินระดับความอุดมสมบูรณ์ของดินในพื้นที่ลุ่มน้ําทุ่งใหญ่ พบว่า พื้นที่สวนยางพาราเชิงเดี่ยว ความลาดชันร้อยละ 8-16 เป็นพื้นที่ที่มีระดับความอุดมสมบูรณ์ของดินต่ํา ในขณะที่พื้นที่สวน ยางพาราเชิงเดี่ยวความลาดชันร้อยละ 0-8 พื้นที่วนเกษตรยางพาราความลาดชันร้อยละ 8-16 และ 16-30 พื้นที่ไม้ผลความลาดชันร้อยละ 16-30 และพื้นที่ป่าความลาดชันมากกว่าร้อยละ 30 เป็น พื้นที่ที่มีระดับความอุดมสมบูรณ์ของดินปานกลาง |
รายละเอียด: | วิทยานิพนธ์ (วท.ม. (การจัดการทรัพยากรดิน))--มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, 2562 |
URI: | http://kb.psu.ac.th/psukb/handle/2016/13553 |
ปรากฏในกลุ่มข้อมูล: | 542 Thesis |
แฟ้มในรายการข้อมูลนี้:
แฟ้ม | รายละเอียด | ขนาด | รูปแบบ | |
---|---|---|---|---|
434700.pdf | 3.48 MB | Adobe PDF | ดู/เปิด |
รายการนี้ได้รับอนุญาตภายใต้ Creative Commons License