Please use this identifier to cite or link to this item:
http://kb.psu.ac.th/psukb/handle/2016/12605
Title: | ผลของโปรแกรมส่งเสริมการดูแลตนเองด้านการยศาสตร์ร่วมกับการบริหารร่างกายแบบมณีเวชต่ออาการปวดหลังส่วนล่างและความสามารถในการทำกิจกรรมของพยาบาลห้องผ่าตัด |
Other Titles: | Effect of Ergonomic Self-Care Enhancement with Maneevej Exercise Program on Lower Back Pain and Functional Ability in Operating Room Nurses |
Authors: | อาภรณ์ทิพย์ บัวเพ็ชร์ นัฐยา ดินเต็ม Faculty of Nursing (Public Health Nursing) คณะพยาบาลศาสตร์ ภาควิชาการพยาบาลสาธารณสุขศาสตร์ |
Keywords: | ปวดหลัง การรักษาด้วยการออกกำลังกาย |
Issue Date: | 2019 |
Publisher: | มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ |
Abstract: | This one-group quasi-experimental research aimed to evaluate the effect of ergonomic self-care enhancement with Maneevej exercise program on lower back pain and functional ability in operating room (OR) nurses. Twenty-five female subjects were purposively selected based on predetermined criteria from OR nurses in one super-tertiary hospital. Subjects received the program which was developed based on self-care ability according to Orem's nursing theory, using the knowledge of ergonomics along with the 6-step risk management and the concept of Maneevej exercise for 8 weeks. All instruments were validated for content validity by 3 experts and evaluated for reliability using Cronbach's alpha, including 1) Self-care of Ergonomics questionnaire (α=0.88); 2) Short-form McGill Pain questionnaire (α=0.85); and 3) the Modified Oswestry Disability Index questionnaire (α=0.86). The questionnaires were applied before the program and at the 1st week, 5th week, and 8th week after starting the program. Data were analyzed using descriptive statistics, and the hypotheses were tested by one-way repeated measures ANOVA and Wilcoxon signed rank test. The findings showed that the mean age was 27.6 years (SD-4.0), mean working age 4.8 years (SD=4.1), and mean working hours per day 8.9 hours (SD=1.1). Most of the subjects (60%) had experience of lower back pain during their work which was caused by long-term working hours. A majority (68%) had no exercise activities. After the program the mean score of lower back pain (1st week: mean=11.84, SD=4.469, 5th week: mean=9.36, SD-4.572, and 8th week: mean=9.60, SD=4.481) was significantly lower than before the program (F1,24=177.537, p<.01). The mean score of the ability to perform functional activities, which was assessed by the limitation of activities, was higher after the program than before but without statistical significance. The mean score of self-care ergonomics at the 1st week, 5th week, and 8th week was higher than that before the program (1st week: mean=74.88, SD=12.34, 5th week: mean=90.28, SD=9.30, and 8th week: mean-90.32, SD=9.36). This study findings reveal that the developed program resulted in decreased lower back pain scores during the 1-5 week and slightly increased during the 5-8 week, whereas the ability to function scores were not different from before the program. These findings suggest that the effectiveness of the program should be tested and confirmed using a comparison group and a randomized controlled trial. Other clinical outcomes, such as strength of the back muscles, should be evaluated to confirm the persistence of self-care in ergonomics and Maneevej exercise for relief and prevention of acute lower back pain. |
Abstract(Thai): | การวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดผลก่อน-หลังนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของ โปรแกรมส่งเสริมการดูแลตนเองด้านการยศาสตร์ร่วมกับการบริหารร่างกายแบบมณีเวชต่ออาการ ปวดหลังส่วนล่างและความสามารถในการทํากิจกรรมของพยาบาลห้องผ่าตัด กลุ่มตัวอย่างเลือกแบบ เจาะจงจํานวน 25 คน ได้รับโปรแกรมส่งเสริมการดูแลตนเองด้านการยศาสตร์ร่วมกับการบริหาร ร่างกายแบบมณีเวชสําหรับพยาบาลห้องผ่าตัดที่มีอาการปวดหลังส่วนล่างเฉียบพลันที่พัฒนาขึ้นจาก การบูรณาการความรู้จากหลักฐานเชิงประจักษ์ภายใต้แนวคิดและกระบวนการส่งเสริมความสามารถ ในการปฏิบัติเพื่อการดูแลตนเองของทฤษฎีการดูแลตนเองของโอเริ่มและการจัดการความเสี่ยง 6 ขั้นตอนร่วมกับแนวคิดการบริหารร่างกายแบบมณีเวช เป็นเวลา 8 สัปดาห์ เครื่องมือวิจัยผ่านการ ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน และตรวจสอบความเที่ยงของเครื่องมือโดย คํานวณค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาค ประกอบด้วย 1) แบบประเมินการดูแลตนเองด้าน การยศาสตร์ (C=0.88) 2) แบบประเมินความเจ็บปวดของแมคกิลล์แบบสั้น (Short-form McGill Pain) ฉบับภาษาไทย (C=0.85) และ 3) แบบประเมินความสามารถในการทํากิจกรรมของ ออสเวสทรี (The modified Oswestry disability index) ฉบับภาษาไทย (C=0.86) ประเมินผล หลังการทดลองในสัปดาห์ที่ 1, 5 และ 8 วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และทดสอบ สมมติฐานการวิจัยโดยสถิติการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวแบบวัดซ้ํา (One-way Repeated Measures ANOVA) และสถิติการทดสอบวิลคอกชัน (Wilcoxon signed rank test) ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างทั้งหมดเป็นเพศหญิง อายุเฉลี่ย 27.6 ปี (SD=4.0) อายุการทํางานเฉลี่ยเท่ากับ 4.8 ปี (SD=4.1) ชั่วโมงการทํางานต่อวันเฉลี่ยเท่ากับ 8.9 ชั่วโมง (SD=1.1) ส่วนใหญ่มีประสบการณ์การเกิดอาการปวดหลังส่วนล่างขณะทํางาน สาเหตุมาจาก การยืนนาน ร้อยละ 60 โดยไม่มีการออกกําลังกายเพื่อสุขภาพ ร้อยละ 68 ภายหลังการทดลอง พบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนอาการปวดหลังส่วนล่าง สัปดาห์ที่ 1=11.84 (SD=4.469) สัปดาห์ที่ 5=9.36 (SD=4.572) สัปดาห์ที่ 8=9.60 (SD=4.481) หลังการทดลองต่ํากว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสําคัญ ทางสถิติ (F1,24=177.537, p<.01) โดยใน 3 ช่วงเวลา มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ อย่างน้อย 1 คู่ และมีค่าเฉลี่ยคะแนนความสามารถในการทํากิจกรรมซึ่งประเมินจากภาวะจํากัดของ การทํากิจกรรม ซึ่งเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนความสามารถในการทํากิจกรรมในแต่ละช่วงเวลา พบว่า ทุกคู่มีค่าค่าเฉลี่ยคะแนนความสามารถในการทํากิจกรรม ก่อนและหลังการทดลองไม่แตกต่าง กันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ นอกจากนี้ ยังพบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนการดูแลตนเองด้านการยศาสตร์ ของกลุ่มตัวอย่าง สูงกว่าก่อนการทดลอง โดยค่าเฉลี่ยคะแนนการดูแลตนเองด้านการยศาสตร์อยู่ใน ระดับปานกลางทั้ง 3 ช่วงเวลา คือ สัปดาห์ที่ 1=74.88 (SD=12.34) สัปดาห์ที่ 5=90.28 (SD=9.30) สัปดาห์ที่ 8)=90.32 (SD=9.36) ผลการวิจัยครั้งนี้สนับสนุนว่า โปรแกรมส่งเสริมการดูแลตนเองด้านการยศาสตร์ ร่วมกับการบริหารร่างกายแบบมณีเวชสําหรับพยาบาลห้องผ่าตัดที่มีอาการปวดหลังส่วนล่าง เฉียบพลัน สามารถทําให้กลุ่มตัวอย่างมีอาการปวดหลังส่วนล่างลดลงได้ในช่วง 5 สัปดาห์แรกหลังการ ทดลอง แต่อาจจะเพิ่มขึ้นได้ในช่วงระหว่างสัปดาห์ที่ 5-8 ส่วนความสามารถในการทํากิจกรรมนั้นไม่ แตกต่างจากก่อนการทดลอง ข้อเสนอแนะคือ ควรมีการทดลองแบบสุ่มกลุ่มตัวอย่างโดยมีกลุ่ม ควบคุม และการประเมินผลลัพธ์ทางคลินิก เช่น ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลัง รวมทั้งควรมี การศึกษาการทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม (randomized controlled trial) เพื่อยืนยัน ประสิทธิภาพของงานวิจัยต่อไป รวมทั้งมีการศึกษาติดตามระยะยาวเพื่อประเมินความคงอยู่ของการ ดูแลตนเองด้านการยศาสตร์และการบริหารร่างกายแบบมณีเวชเพื่อบรรเทาและป้องกันการเกิด อาการปวดหลังส่วนล่างเฉียบพลันต่อไป |
Description: | วิทยานิพนธ์ (พย.ม (การพยาบาลเวชปฏิบ้ติชุมชน))--มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, 2562 |
URI: | http://kb.psu.ac.th/psukb/handle/2016/12605 |
Appears in Collections: | 610 Thesis |
Files in This Item:
File | Description | Size | Format | |
---|---|---|---|---|
437567.pdf | 1.29 MB | Adobe PDF | View/Open |
Items in PSU Knowledge Bank are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.