Please use this identifier to cite or link to this item: http://kb.psu.ac.th/psukb/handle/2016/11624
Title: ผลของการกำจัดชั้นสเมียร์ก่อนการฟอกสีฟันภายในตัวฟันต่อประสิทธิภาพการฟอกสีฟันและความแข็งผิวเนื้อฟัน
Other Titles: Effect of Smear Layer Removal Prior to Intracoronal Bleaching on Shade Improvement and Dentin Hardness
Authors: เกวลิน ธรรมสิทธิ์บูรณ์
ขวัญเกล้า สายเชื้อ
Faculty of Dentistry
คณะทันตแพทยศาสตร์
Keywords: ฟัน การดูแลและสุขวิทยา
Issue Date: 2017
Publisher: มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
Abstract: Introduction: Removal of smear layer has been suggested prior to placement of bleaching agent in order to improve the effectiveness of intracoronal bleaching. However, there is no evidence available on the benefit of smear layer removal on the effectiveness of intracoronal bleaching. Objectives: To evaluate the effects of smear layer removal, using 37% phosphoric acid or 17% EDTA prior to intracoronal bleaching on shade improvement and dentin hardness Materials and methods: Ninety extracted premolars were artificially stained with human blood and divided into 3 groups according to smear layer removal protocol. Group I: distilled water 10 ml, Group II: 37% phosphoric acid gel for 15s and Group III: 17% EDTA 5 ml, for 60s followed by rinsing with distilled water. Subsequently, sodium perborate mixed with distilled water was placed and changed at day 7, 14 and 21. Shade measurement and dentin hardness testing were performed at 7, 14 and 21 days. Data were analysed by ANOVA and post-hoc test (Tukey Honestly Significant Difference (HSD)) (p<0.05). Results: In all groups, significant shade improvements were observed at all time points (DW p = 0.001, H,PO, p = 0.001, EDTA p = 0.000). However, there were no significant differences among groups on shade improvement (7 days p=0.746, 14 days p=0.272, 21 days p=0.897) and dentin hardness at 7, 14 and 21 days (7 days p = 0.492, 14 days p=0.706, 21 days p = 0.897). Conclusion: Within the limitations of this study, smear layer removal with either 37% phosphoric acid or 17 % EDTA did not increase the effectiveness of intracoronal bleaching on shade improvement and did not affect hardness of the dentin.
Abstract(Thai): บทนํา: ชั้นสเมียร์ เป็นปัจจัยหนึ่งที่อาจมีผลต่อประสิทธิภาพของการฟอกสีฟัน จึงมี การแนะนําให้กําจัดชั้นสเมียร์ก่อนฟอกสีฟันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการฟอกสีฟันภายในตัวฟัน ปัจจุบัน ยังไม่มีหลักฐานทางการศึกษาที่แน่ชัดเกี่ยวกับประโยชน์ของการกําจัดชั้นสเมียร์ก่อน การฟอกสีฟันต่อประสิทธิภาพการฟอกสีฟันภายในตัวฟัน วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาประสิทธิภาพการฟอกสีฟันและความแข็งผิวเนื้อฟัน ภายหลังการกําจัดชั้นสเมียร์ด้วยกรดฟอสฟอริก ความเข้มข้นร้อยละ 37 หรือสารละลายอีดีทีเอ ความเข้มข้นร้อยละ 17 แล้วฟอกสีฟันด้วยสารโซเดียมเพอร์โบเรตผสมน้ํากลั่น วัสดุและวิธีการ: นําฟันกรามน้อย จํานวน 90 ซี่ มาทําการย้อมสีฟันด้วยเลือดมนุษย์ โดยแบ่งฟันออกเป็น 3 กลุ่ม เพื่อกําจัดชั้นสเมียร์ก่อนฟอกสีฟัน ดังนี้ กลุ่มที่ 1 ล้างผิวเนื้อฟันบริเวณ โพรงเนื้อเยื่อในด้วยน้ํากลั่น 10 มิลลิลิตร เป็นเวลา 60 วินาที กลุ่มที่ 2 กําจัดชั้นสเมียร์ โดยทาผิวเนื้อ ฟันบริเวณโพรงเนื้อเยื่อในด้วยกรดฟอสฟอริก ความเข้มข้นร้อยละ 37 15 วินาที แล้วล้างออกด้วย น้ํากลั่น 10 มิลลิลิตร เป็นเวลา 60 วินาที กลุ่มที่ 3 กําจัดชั้นสเมียร์ โดยล้างผิวเนื้อฟันบริเวณโพรง เนื้อเยื่อในด้วยสารละลายอีดีทีเอ ความเข้มข้นร้อยละ 17 5 มิลลิลิตร แล้วแช่ทิ้งไว้ 60 วินาที ล้าง ออกด้วยน้ํากลั่น 10 มิลลิลิตร เป็นเวลา 60 วินาที ฟอกสีฟันด้วยโซเดียมเพอร์โบเรตผสมน้ํากลั่น โดย เปลี่ยนสารฟอกสีฟันเมื่อครบ 7, 14 และ 21วัน วัดสีฟันด้วยเครื่องวัดสีฟันและวัดความแข็งผิวเนื้อฟัน วิเคราะห์โดยใช้สถิติ ANOVA และเปรียบเทียบเชิงซ้อน โดยใช้ post-hoc test (Tukey Honestly Significant Difference (HSD)) ที่ระดับนัยสําคัญ 0.05 y ผลการทดลอง: เมื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพการฟอกสีฟันภายในกลุ่มทดลองเดียวกัน ที่เวลา 7, 14 และ 21 วัน พบว่า ประสิทธิภาพการฟอกสีฟันด้วยสารโซเดียมเพอร์โบเรตผสมน้ํากลั่น ร่วมกับการกําจัดชั้นสเมียร์ด้วยกรดฟอสฟอริก ความเข้มข้นร้อยละ 37 หรือสารละลายอีดีทีเอ ความเข้มข้นร้อยละ 17 มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติในทุกกลุ่มทดลอง (กลุ่ม DW p = 0.001, กลุ่ม H,PO, p = 0.001, กลุ่ม EDTA p = 0,000) แต่เมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มทดลองที่ เวลา 7, 14 และ 21 วัน พบว่า ประสิทธิภาพการฟอกสีฟัน (7 วัน p = 0.746, 14 วัน p = 0,272, 21 วัน p = 0.897) และความแข็งผิวเนื้อฟันภายหลังการฟอกสีฟัน (7 วัน p = 0.492, 14 วัน p = 0.706, 21 วัน p = 0.897) ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติระหว่างกลุ่มทดลอง สรุป: ภายใต้ข้อจํากัดของงานวิจัยนี้ พบว่า การฟอกสีฟันด้วยสารโซเดียมเพอร์โบเรต ผสมน้ํากลั่นร่วมกับการกําจัดชั้นสเมียร์ด้วยกรดฟอสฟอริก ความเข้มข้นร้อยละ 37 หรือสารละลาย อีดีทีเอ ความเข้มข้นร้อยละ 17 ไม่มีผลเพิ่มประสิทธิภาพการฟอกสีฟันและไม่มีผลเปลี่ยนแปลง ค่าเฉลี่ยความแข็งผิวเนื้อฟัน อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ
Description: วิทยานิพนธ์ (วท.ม. (วิทยาศาสตร์สุขภาพช่องปาก))--มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, 2560
URI: http://kb.psu.ac.th/psukb/handle/2016/11624
Appears in Collections:650 Thesis

Files in This Item:
File Description SizeFormat 
419510.pdf2.75 MBAdobe PDFView/Open


This item is licensed under a Creative Commons License Creative Commons